เป็นที่รู้กันดีว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อันตรายมากเมื่อวัดจากสัดส่วนการเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนน ในรายงานระดับโลกฉบับล่าสุด ปี ค.ศ.2018 องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ประเทศไทย มีอัตราการเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดเป็นอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 32.7 ต่อหนึ่งแสนประชากร เทียบได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านจะมีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทุกๆปี ราว 20,000 คน หรือมากกว่านั้น ส่วนอีกหลายพันคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพิการไปตลอดชีวิต ประมาณร้อยละ 75 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใช้ยานพาหนะ 2 หรือ 3 ล้อ ซึ่งส่วนมากเป็นรถจักรยานยนต์ และส่วนมากเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวในช่วงอายุระหว่าง 15 – 29 ปี เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถิติเหล่านี้ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2562 มีรายงานผู้เสียชีวิต 19,904 ราย ตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 17,983 รายในปี พ.ศ.2563 และเหลือ 16,494 รายในปี พ.ศ.2564 ตามลำดับ จึงทำให้มีการตั้งถามกันว่า หรือประเทศไทยจะ พลิกสถานการณ์ได้แล้วในที่สุด หรือสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้นแล้วแต่เป็นที่น่าเศร้าว่าความจริงแล้ว สถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเลขกลับมาใกล้เคียงกับตัวเลขของปี พ.ศ.2562 ซึ่งสอดคล้องกับการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้ เพื่อรับมือกับ สถานการณ์ การระบาดของโรคโควิด 19
ในช่วงปี พ.ศ.2563 และ 2564 ประชากรส่วนใหญ่ลดการเดินทางไปมา การสัญจรที่เบาบางลงนี้ ส่งผลให้จำนวนอุบัติเหตุทางถนนลดลง ช่วงเวลานั้นเหมือนจะสิ้นสุดไปแล้ว และโชคไม่ดีที่ผู้คนก็กลับไปมีพฤติกรรม ในการขับขี่ ที่ไม่ปลอดภัยเหมือนเดิมเรารู้ว่าสาเหตุหลักของอุบัติเหตุคือ ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย การดื่มแล้วขับ และ การใช้ความเร็วเกินกว่าที่กำหนด ซึ่งบ่อยครั้งผู้คนจะมีพฤติกรรมเสี่ยงสามข้อนี้ร่วมกัน ทำให้การสัญจรอันตรายมากขึ้นทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตลอดจนผู้เดินเท้า ผู้ขับขี่จักรยาน และผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณสุขระหว่างประเทศ (ประเทศไทย) ได้ทำการวิจัยไว้ว่า หากทุกคน (ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร) สวมหมวกนิรภัย เราจะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 6,984 รายต่อปี และอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนโดยรวมจะลดลงถึงหนึ่งในสาม ขณะเดียวกัน การดื่มแล้วขับ ก่อให้เกิดการเสียชีวิตถึง 5,529 รายต่อปี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 28 ของการเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนน ทั้งหมด จากตัวเลขอาจเห็นได้ว่า หากผู้คนสวมหมวกนิรภัยเมื่อขับขี่และโดยสารบนจักรยานยนต์ และหากไม่ขับขี่หลังจากดื่มแอลกอฮอล์ เราจะสามารถช่วยชีวิตคนได้ถึงร้อยละ 60 สองสิ่งนี้ เป็นการกระทำที่ง่ายมาก และสามารถลดการเสียชีวิตได้ถึง 12,000 รายได้ทุกปี ถือเป็นอะไรที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเลย นั่นหมายความว่า การที่จะทำให้ถนนในประเทศไทยปลอดภัยขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถช่วยกันได้ อย่าขึ้นรถจักรยานยนต์โดยที่ไม่มีหมวกนิรภัย และหากต้องโดยสารรถจักรยานยนต์เป็นประจำ ให้นำหมวกนิรภัยของตนเองไป เมื่อต้องเลี้ยงสังสรรค์ ให้แน่ใจว่ามีอย่างน้อย 1 คนในกลุ่ม ที่ได้รับ มอบหมายหน้าที่ขับรถซึ่งคนนี้ต้องไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เมื่ออยู่บนถนน เคารพกฎจราจรและ ขับขี่ตามความเร็วที่กฎหมายกำหนด มาตรการเหล่านี้ เราทุกคนทำได้ เป็นมาตรการที่เราทุกคนต้องทำ
แน่นอนว่าภาครัฐสามารถทำได้มากกว่านี้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือกำหนดกฎหมาย ที่ทำให้ถนน และยานพาหนะปลอดภัยขึ้น หรือบังคับใช้กฏหมายที่มีอยู่ แต่ไม่ได้แปลว่าเราต้องรอให้คนอื่นเข้ามาแก้ปัญหา หากเราเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองในฐานะผู้ใช้ถนน ก็จะมีชีวิตของอีกหลายคนที่ไม่ต้องสูญเสียไป ซึ่งรวมถึง ชีวิตของคุณเองและคนที่คุณรักด้วย เราต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของประเทศที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 12 รายต่อแสนประชากรให้ได้ภายในปี พ.ศ.2570 ขอให้คำนึงถึงสิ่งนี้ในขณะที่คุณฉลองวันหยุดปีใหม่ และทำในสิ่งที่คุณต้องทำคือ สวมหมวกนิรภัย ดื่มไม่ขับ และ อย่าขับรถเร็วเกินกำหนด
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนในประเทศไทยมีความสุขในปี พ.ศ.2566