© WHO/Ploy Phutpheng - 2020
Lwin Lwin Kyi, 26, is one of Samut Sakhon Provincial Public Health Office's network of about 300 trained Burmese volunteers who bridge the language gap when the workers fall ill.
© Credits

แรงงานจากเมียนมาในแหล่งประมงและแปรรูปอาหารทะเลของไทยได้รับความช่วยเหลือให้ปลอดโควิด 19

15 July 2020
Reading time:

(บทความแปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ)

ต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนโดย มณฑิรา นาควิเชียร เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารองค์กร องค์การอนามัยโลก
แปลโดย สุวิมล สงวนสัตย์ 

สมุทรสาคร ประเทศไทย – แรงงานเมียนมาจำนวนมากกลับประเทศไปได้ก่อนที่ทางการไทยจะปิดพรมแดนเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มสูงขึ้น แต่ราว 400,000 คนยังอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ทำให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลดำเนินต่อไปได้และทำให้พวกเขาเองปลอดจากเชื้อไวรัสเพราะได้ความช่วยเหลือจากอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว กฎระเบียบอนามัยที่เข้มงวด และชุมชนที่มีความสามารถในการปรับตัวกับสถานการณ์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าว

จากข้อมูลของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ แรงงานต่างด้าวราว 80 ล้านคนในเอเชียมีความเปราะบางต่อโรคระบาดนี้ หลายคนไม่ได้รับความช่วยเหลือเนื่องจากไม่อยู่ในระบบจึงทำให้ทางการและองค์กรด้านมนุษยชนเข้าไม่ถึง

Nurses at COVID-19 Clinic, Sumut Sakhon Hospital, receives up to 20 patients, both Thais, and Burmese migrant workers

พยาบาลที่คลินิกโควิด 19 โรงพยาบาลสมุทรสาคร ซึ่งในหนึ่งวันรับผู้ป่วยราว 20 รายทั้งไทยและต่างด้าว © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง

แต่ในสมุทรสาคร “ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการรักษาโควิด 19 และความช่วยเหลือต่างๆไม่ว่าสถานะทางกฎหมายจะเป็นอย่างไรก็ตาม” สุพจน์ เสือขำ หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ ภายใต้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครกล่าวในการสัมภาษณ์ขององค์การอนามัยโลก

จังหวัดสมุทรสาครตั้งอยู่บนชายฝั่งของอ่าวไทยและใช้เวลาขับรถเพียงชั่วโมงกว่าจากกรุงเทพฯไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จังหวัดนี้มีชุมชนแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สาธารณสุขจังหวัดกล่าวว่าเกินครึ่งของประชากรกลุ่มนี้เป็นแรงงานนอกระบบและทำงานในอุตสาหกรรมประมงและแปรรูปอาหารทะเล ซึ่งถือเป็น 3 เปอร์เซนต์ของรายได้มวลรวมของประเทศ

หลังจากมีการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ทางรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวและสั่งปิดกิจการบางประเภท ตลอดจนปิดพรมแดนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในข้อเรียกร้องขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน มีการระบุว่า การเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าวเพื่อกลับเมียนมา สปป.ลาวและกัมพูชาทำให้เกิดแรงกดดันต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ทำงานในแนวหน้าและเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่ระบาดระหว่างประเทศเหล่านี้

ในข้อเรียกร้อง องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานระบุว่า คนต่างด้าวเหล่านี้ไม่ว่าจะมีสถานะทางกฎหมายใดก็ตาม เป็นประชากรกลุ่มที่ยากจนที่สุดซึ่งไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการประปาและสุขาภิบาลได้ จึงทำให้มาตรการป้องกันต่างๆมีประสิทธิภาพลดลง

แรงงานเมียนมาหลายคนที่ทางองค์การอนามัยโลกไปเยี่ยมในจังหวัดสมุทรสาครอยู่อาศัยในหอพักแออัด ไม่มีบริการทำความสะอาดในพื้นที่ส่วนกลางและมีข้อจำกัดในการเข้าถึงน้ำประปาที่สะอาด

เพื่อบรรเทาความเสี่ยงทางสาธารณสุขและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานได้ออกคำสั่ง 15 ข้อเมื่อวันที่ 18 มีนาคม คำสั่งนี้ทำให้มีการขับเคลื่อนการเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง มีการบังคับใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เข้มงวด (เช่น วัดอุณหภูมิในพื้นที่สาธารณะ ระงับกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศาสนา) และมีการปรับ 20,000 บาท (ประมาณ 650 เหรียญสหรัฐ) หากพบว่าใครไม่สวมหน้ากากในที่สาธารณะ

A doctor performs routine check on patients at COVID-19 Clinic, Samut Sakhon Hospital

แพทย์ตรวจผู้ป่วยตามกิจวัตรที่คลินิกโควิด 19 โรงพยาบาลสมุครสาคร © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง

มีจำนวนผู้ป่วยโควิด 19 ที่รายงานทั้งสิ้น 18 รายในสมุทรสาคร ทุกรายได้รับการรักษาและหายดีแล้ว ทุกรายเป็นชาวไทยที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นและไม่มีการแพร่ระบาดในชุมชน การเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยงนั้นมีการตรวจแรงงานเมียนมา 30,000 คนซึ่งผลตรวจทั้งหมดออกมาเป็นลบ

ผลลัพธ์ของมาตรการป้องกันโควิด 19 อาจออกมาแตกต่างจากนี้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ทางการไม่ได้สั่งปิดโรงงานแปรรูปอาหารทะเลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกัน –

“ผู้ประกอบการธุรกิจประมงให้ความร่วมมือดีมากในการใช้มาตรการต่างๆในโรงงาน ถ้ามีกิจกรรมที่เสี่ยงย่อมเป็นผลเสียต่อรายได้ของพวกเขา” สุพจน์กล่าว

Wai Min Thu, 23 years old, in his dorm in Samut Sakhon migrant worker's village camp

ไว มิน ตู ในหอพักคนงานที่จังหวัดสมุทรสาคร © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง

“พวกเราได้รับการร้องขอให้ใส่หน้ากาก ล้างมือ และรักษาระยะห่างเวลาทำงานในโรงงาน” ไว มิน ตู วัย 23 ปี กล่าว เขาเดินทางมากับภรรยาเพื่อทำงานในสมุทรสาครเมื่อสี่ปีก่อนจากทวายในภาคตะวันออกของเมียนมา

“เราไม่ได้กังวลมาก แต่ที่บ้านก็ทำตามที่แนะนำ เช่น ล้างมือบ่อยๆ เลี่ยงที่แออัด และไม่ไปทำกิจกรรมทางศาสนาในวันอาทิตย์” เขากล่าว “ภรรยาผมไปตลาดและทำธุระแค่เดือนละครั้งจากที่เคยไปทุกสองอาทิตย์”

คนหนุ่มสาวคู่นี้เหมือนกับแรงงานต่างด้าวจากเมียนมาทั่วไปตรงที่อ่านภาษาไทยไม่ออกและเข้าใจภาษาอังกฤษน้อยมาก ทั้งสองมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวไปเยี่ยมที่บ้านบ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือ ลวีน ลวีน จี ซึ่งคอยไปเยี่ยมคู่นี้และแรงงานคนอื่นๆในวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุด

Lwin Lwin Kyi visits workers village camp

ลวีน ลวีน จี มาเยี่ยมแค้มป์คนงาน © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
ลวีน ลวีน จี วัย 26 ปี เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีอาสาสมัครเมียนมาราว 300 คนได้รับการอบรมเพื่อช่วยเหลือด้านภาษาเมื่อแรงงานหรือครอบครัวป่วย เธอมักจะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสมุทรสาครซึ่งได้นำความรู้ภาษาไทยของเธอมาใช้ประโยชน์

“อาสาสมัครเมียนมาช่วยได้มาก โดยเฉพาะช่วงพีคของการระบาดเมื่อมีแรงงานจำนวนมากเข้ามาตรวจโควิด 19” ขนิษฐา ปานรักษา พยาบาลซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลจัดตั้งขึ้นมารับมือกับการระบาดกล่าว

A nurse is filling a health check form at COVID-19 Clinic, Samut Sakhon Hospital to identify the symptoms of the novel coronavirus

พยาบาลกรอกแบบฟอร์มข้อมูลสุขภาพที่คลินิกโควิด 19 ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร เพื่อระบุอาการของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง

ทุกวันแผนกรับคนไข้ประมาณ 20 รายทั้งไทยและเมียนมา ส่วนใหญ่มาพร้อมอาการระบบทางเดินหายใจ

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สำนักงานสาธารณสุขท้องที่ได้อบรมแรงงานต่างด้าวราว 30,000 คนเพื่อเป็นอาสาสมัครในสมุทรสาครเพื่อช่วยป้องกัน ค้นหาและรายงานผู้ป่วยต้องสงสัยโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ แต่การรักษาขีดความสามารถของโครงการไว้ก็ท้าทายเนื่องจากอาสาสมัครต่างด้าวอาจย้ายไปทำงานอื่นหรือไปจังหวัดอื่น สุพจน์กล่าว

ในเดือนพฤษภาคม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก มูลนิธิรักษ์ไทย และมูลนิธิศุภนิมิต ได้เปิดตัวสายด่วนเพื่อช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน มีคนต่างด้าวและคนไทยกว่า 70 คนที่สามารถพูดภาษาพม่า ลาวและเขมร ได้รับการอบรมให้รับโทรศัพท์สายด่วน 1422 เพื่อประเมินความต้องการของผู้ที่โทรเข้ามาและเพื่อส่งต่อผู้ป่วยโควิด 19 ต้องสงสัยไปยังบุคลากรทางการแพทย์

Department of Disease Control representative at Samut Sakhon migrant worker's village camp

ตัวแทนจากกรมควบคุมโรคไปเยี่ยมแค้มป์คนงานที่สมุทรสาคร © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง

ข้อมูลจากสายด่วนจะช่วยต้านข่าวปลอมซึ่งทำให้เกิดผลกระทบในแง่ลบกับแรงงานต่างด้าวเช่นการกักตุนอาหาร เยมิน อาสาสมัครเมียนมาจากมูลนิธิรักษ์ไทยกล่าว

เยมิน วัย 35 ปี กล่าวว่าข้อมูลที่อาสาสมัครให้เป็นประโยชน์ต่อแรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล สิ่งทอ รีไซเคิล หล่อโลหะและทำเฟอร์นิเจอร์

ซอ ซอ ลัต วัย 40 ปี ชาวเมียนมาอีกคนที่ทำงานกับสายด่วน กล่าวว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลืออายุตั้งแต่ 18 ถึง 60 ปี และพวกเขาถามคำถามเกี่ยวกับโควิด 19 แทนที่จะถามเกี่ยวกับวัณโรคหรือเอชไอวีเหมือนในอดีต ซอ ซอ ลัต ได้รับสายเข้าจากแรงงานเมียนมาหลายคนในช่วงที่มีการระบาดของโรคอื่น ตั้งแต่ก่อนที่จะมีสายด่วนแรงงานต่างด้าวนี้

“สายด่วนภาษาพม่าและภาษามอญช่วยให้เราเข้าถึงแรงงานที่ปกติไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์หรือข่าวที่เขียนเป็นภาษาที่พวกเขาเข้าใจได้”

ไว มิน ตู แรงงานในโรงงาน กล่าวว่า ไวรัสโคโรนาไม่แยกแยะว่าใครเป็นใคร “ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อเท่ากัน การระวังไว้ก่อนคือกุญแจสำคัญ”

 

ดร.แดเนียล เคอร์เทสซ ดร.ริชาร์ด บราวน์ อารีย์ ม่วงสุขเจริญ และ พาหุรัตน์ คงเมือง ทัยสุวรรณ์ เอื้อเฟื้อข้อมูล

Peter. J. Eng บรรณาธิการ 

เครดิตภาพ พลอย พุฒเพ็ง

คลิก ที่นี่ เพื่อดูภาพเพิ่มเติม

หากคุณประสบปัญหาในการอ่านบทความด้านบน กรุณาติดต่อ sethawebmaster@who.int