องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เผยแพร่รายงานฉบับแรกเกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงจากโรคความดันโลหิตสูง ตลอดจนข้อเสนอแนะในการพิชิตฆาตกรเงียบนี้ รายงานระบุว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 4 ใน 5 รายไม่ได้รับการดูแลรักษาเพียงพอ แต่หากประเทศต่างๆ สามารถยกระดับความครอบคลุมของการรักษา เราจะสามารถหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตของประชากรได้ถึงจำนวน 76 ล้านราย ในช่วงปี พ.ศ. 2573-2593
ผู้ใหญ่ 1 ใน 3 คนทั่วโลกมีภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะที่พบได้ทั่วไปแต่อันตรายถึงชีวิตนี้ นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว ไตวายและปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ
จำนวนผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง (มีความดันโลหิต 140/90 มิลเมตรปรอท หรือสูงกว่านั้น หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตเป็นประจำ) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าระหว่างปีพ.ศ. 2533 และ 2562 จาก 650 ล้านราย เป็น 1.3 พันล้านราย เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงทั่วโลกไม่ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของตน และมากกว่าสามในสี่ของผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงอาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง
อายุที่มากขึ้นและกรรมพันธุ์อาจเพิ่มความเสี่ยงของการมีความดันโลหิตสูง แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง การไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงได้
การเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น การเลิกบุหรี่และการมีกิจกรรมทางกายมากขึ้น สามารถลดความดันโลหิตได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้ยาเพื่อคุมความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง
การป้องกัน การตรวจพบตั้งแต่แรกเริ่ม และดูแลควบคุมความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นมาตรการที่คุ้มค่าที่สุดในการให้บริการสุขภาพ และควรได้รับความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ และควรเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพที่มีในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการพัฒนาประสิทธิภาพในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงนั้นมีมากกว่าค่าใช้จ่ายถึงประมาณ 18 เท่า
“เราสามารถควบคุมความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยการใช้ยาสามัญและราคาไม่สูง แต่กลับมีผู้ป่วยเพียง 1 ใน 5 รายที่สามารถควบคุมความดันได้” นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกกล่าว “แผนงานการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงยังคงถูกละเลย ไม่ได้รับความสำคัญ และโดยมากขาดแคลนงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่อง การเสริมสร้างการควบคุมความดันโลหิตสูงควรจะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่ประกันสุขภาพถ้วนหน้าของแต่ละประเทศ โดยมีพื้นฐานมาจากระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เท่าเทียมและยืดหยุ่นได้ ตลอดจนต่อยอดมาจากบริการสุขภาพปฐมภูมิ”
รายงานนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกในที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติครั้งที่ 78 ซึ่งกล่าวถึงความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่รวมถึงเป้าหมายด้านสุขภาพในการเตรียมความพร้อมรับมือและตอบสนองกับโรคระบาด การยุติวัณโรคและการบรรลุเป้าหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า การป้องกันและควบคุมโรคความดันโลหิตสูงที่ได้รับการยกระดับให้ดีขึ้นจะเป็นส่วนสำคัญที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่กล่าวมานี้
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาและควบคุมความดันโลหิตสูงจนถึงระดับที่พบได้ในประเทศที่ประสิทธิภาพการรักษาโรคความดันโลหิตสูงอยู่ในระดับสูง จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 76 ล้านราย ป้องกันอุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 120 ล้านครั้ง ป้องกันหัวใจวาย 79 ล้านครั้ง และป้องกันหัวใจล้มเหลวได้ถึง 17 ล้านครั้งในช่วงระหว่างปีนี้ จนถึงถึงปี พ.ศ. 2593
“เราสามารถป้องกันการเกิดหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วยยาที่มีราคาไม่แพง ปลอดภัย และเข้าถึงได้ ตลอดจนการใช้มาตรการอื่นๆ เช่น การลดการบริโภคโซเดียม” นายไมเคิล อาร์ บลูมเบิร์ก - ทูตขององค์การอนามัยโลกด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและการบาดเจ็บกล่าว ”การรักษาโรคความดันโลหิตสูงผ่านทางหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิจะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ประหยัดงบประมาณกว่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี”
โรคความดันโลหิตสูงรักษาได้โดยง่ายด้วยการใช้ยาที่ปลอดภัย มีแพร่หลายและราคาถูกภายใต้แผนงาน เช่น โครงการ HEARTS แนวทาง HEARTS[BS1] [BS2] ขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการจัดการโรคหลอดเลือดหัวใจในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ และแนวทางปฏิบัติด้านเภสัชวิทยาสำหรับการรักษาโรคความดันโลหิตสูง[BS3] [BS4] นำเสนอแนวทางที่พัฒนาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และนำไปใช้ได้จริงเพื่อจัดบริการดูแลผู้ป่วยในบริบทของหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ
การดูแลรักษาโรคความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพในระดับชุมชนและระดับประเทศเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ไม่ว่าประเทศจะมีรายได้อยู่ในระดับใด ประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางกว่า 40 ประเทศ อาทิ บังคลาเทศ คิวบา อินเดียและศรีลังกาได้เสริมสร้างการให้บริการดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูงด้วยแนวทาง HEARTS และมีการขี้นทะเบียนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงกว่า 17 ล้านรายเข้าสู่การรักษา นอกจากนั้นประเทศ เช่น แคนาดาและเกาหลีใต้มีโครงการรักษาโรคความดันโลหิตสูงในระดับประเทศที่ครอบคลุมและทั้งสองประเทศได้ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 50 ของการควบคุมความดันโลหิตสูงในผู้ใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงได้ แผนงานควบคุมความดันโลหิตสูงในระดับประเทศที่มีความยั่งยืนและมีการดำเนินงานเป็นระบบ จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการควบคุมความดันโลหิต และจะทำให้มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจวายลดน้อยลง และผู้ป่วยจะอายุยืนขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้นด้วย
รายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานตามข้อเสนอการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีประสิทธิภาพขององค์การอนามัยโลก ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบห้าด้านดังนี้:
แนวทางการรักษา แนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานของขนาดยาและยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง โดยมีขั้นตอนดำเนินการชัดเจนสำหรับการจัดการความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้การรักษามีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาต่อเนื่อง
ยาและเวชภัณฑ์ การเข้าถึงยาได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาโรคความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันนี้ ราคายาที่จำเป็นสำหรับโรคความดันโลหิตสูงแตกต่างกันมากถึง 10 เท่าระหว่างประเทศต่างๆ
การดูแลผู้ป่วยเป็นทีม ผลลัพธ์ของการรักษาผู้ป่วยจะดียิ่งขึ้นเมื่อทีมมีการประสานงานกันและปรับสูตรการให้ยาความดันโลหิตสูงตามที่แพทย์สั่งและตามแนวทางการรักษามาตรฐาน
การให้บริการแบบมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาโดยการจ่ายยาตามสูตรการรักพยาบาลที่รับประทานง่าย ยาที่มีการจ่ายฟรี และการนัดติดตามอาการใกล้บ้านและทำให้การติดตามและรักษาโรคความดันโลหิตสูงสามารถเข้าถึงได้สะดวกในทุกที่
ระบบข้อมูล ที่มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลางและเป็นมิตรแก่ผู้ใช้ซึ่งสามารถเอื้อให้มีการบันทึกข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการป้อนข้อมูลและสนับสนุนการยกระดับการปฎิบัติงานได้โดยยังคงไว้ซึ่งคุณภาพของการรักษาพยาบาล
“ทุกชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจวาย ซึ่งการเสียชีวิตส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง และในหลายกรณีสามารถป้องกันได้” ดร.ทอม ฟรีเดน ประธานและ กรรมการบริหาร Resolve to Save Lives กล่าว “การดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูงเป็นสิ่งที่ไม่ได้แพง และเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ ความท้าทายคือเราจะก้าวต่อไปอย่างไรจากจุดที่ ‘เข้าถึงผู้ป่วยในปัจจุบัน’ ไปถึง ‘การเข้าถึงผู้ป่วยทุกราย’ ซึ่งเจตจำนงมุ่งมั่นจากภาครัฐทุกประเทศทั่วโลกนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้”
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงและแนวทาง HEARTS เพื่อควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงได้ที่นี่ here
คลิ้กที่นี่ here เพื่ออ่านรายงานฉบับเต็ม