ข้อเท็จจริงสำคัญ
- วัคซีนที่ใช้ระหว่างการดำเนินการตามแผนการกำจัดโรคฝีดาษ (smallpox) สามารถป้องกันโรคเอ็มพ็อกซ์ได้ด้วย มีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่หลายชนิดและมีวัคซีนชนิดหนึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้ป้องกันโรคเอ็มพ็อกซ์
- เกิดจากไวรัสเอ็มพ็อกซ์ (mpox virus) ซึ่งเป็นไวรัสในสกุล Orthopoxvirus ของวงศ์ Poxviridae
- ปกติโรคเอ็มพ็อกซ์ป็นโรคที่หายได้เอง ระยะแสดงอาการตั้งแต่ 2 ถึง 4 สัปดาห์ แต่อาการรุนแรงก็อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อไม่นานนี้ อัตราการป่วยตาย (case fatality ratio) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-6
- การแพร่เชื้อสู่มนุษย์ของโรคเอ็มพ็อกซ์เกิดขึ้นจากการสัมผัสใกล้ชิดกับคนหรือสัตว์ติดเชื้อหรือการสัมผัสวัสดุปนเปื้อนเชื้อไวรัส
- โรคเอ็มพ็อกซ์สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสรอยโรคบนผิวหนัง ของเหลวในร่างกาย ละอองน้ำจากการหายใจ และวัสดุที่ปนเปื้อน เช่น ปลอกหมอนหรือผ้าปูที่นอน
- โรคเอ็มพ็อกซ์เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ป่าฝนเขตร้อนแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก และบางครั้งมีโอกาสแพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่น
- ยาต้านไวรัสที่พัฒนาสำหรับการรักษาโรคฝีดาษได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาโรคเอ็มพ็อกซ์ด้วย
- อาการที่สังเกตได้ของโรคเอ็มพ็อกซ์คล้ายลักษณะอาการของโรคฝีดาษ ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสในสกุล orthopoxvirus เหมือนกัน ซึ่งมีประกาศว่าถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นทั่วโลกเมื่อปี 2523 โรคเอ็มพ็อกซ์ติดต่อได้ยากกว่าโรคฝีดาษและทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยที่รุนแรงน้อยกว่า
- โดยทั่วไป ลักษณะอาการของโรคเอ็มพ็อกซ์มีดังนี้ มีไข้ ผื่นแดง และต่อมน้ำเหลืองโต และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางการแพทย์ตามมา
คำนำ
โรคเอ็มพ็อกซ์เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งแสดงอาการคล้ายลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคฝีดาษที่เคยพบเห็นในอดีต แต่อาการของโรครุนแรงน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ภายหลังการกำจัดโรคฝีดาษได้สำเร็จในปี 2523 และการยุติการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษ โรคเอ็มพ็อกซ์ได้อุบัติขึ้นเป็นเชื้อไวรัส orthopoxvirus ที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคสาธารณสุข ส่วนใหญ่โรคเอ็มพ็อกซ์พบในแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก พบได้บ่อยบริเวณใกล้พื้นที่ป่าฝนเขตร้อนและเริ่มแพร่กระจายในเขตเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สัตว์ที่เป็นพาหะ ได้แก่ สัตว์ฟันแทะและสัตว์ตระกูลลิง
เชื้อก่อโรค
ไวรัสเอ็มพ็อกซ์เป็นไวรัสที่มีดีเอ็นเอสายคู่ที่มีโครงสร้างห่อหุ้มเซลล์ (enveloped double-stranded DNA) ซึ่งเป็นไวรัสในสกุล Orthopoxvirus ของวงศ์ Poxviridae ไวรัสเอ็มพ็อกซ์มี 2 สายพันธุ์หลักที่จำแนกตามการศึกษาวิวัฒนาการทางพันธุกรรม ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง (แถบลุ่มน้ำคองโก) และสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ในอดีต สายพันธุ์ลุ่มน้ำคองโกทำให้เกิดโรคที่มีอาการรุนแรงกว่า และเชื่อกันว่าสายพันธุ์นี้แพร่เชื้อได้ง่ายกว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการจำแนกเชื้อไวรัส 2 สายพันธุ์ตามเขตภูมิศาสตร์ในแคมารูน ซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวที่ตรวจพบทั้ง 2 สายพันธุ์
พาหะในธรรมชาติของไวรัสเอ็มพ็อกซ์
สัตว์หลายสปีชีส์ที่ถูกระบุว่าติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์ได้ง่าย ได้แก่ กระรอกเชือก, กระรอกต้นไม้, หนูแกมเบียที่มีถุงหน้าท้อง, หนูดอร์เมาซ์, สัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ชนิดอื่น วิวัฒนาการของไวรัสฝีดาษวานรในธรรมชาติยังคงเป็นข้อมูลที่ไม่แน่ชัด และจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อระบุแหล่งรังโรคที่แน่ชัดและอธิบายว่าไวรัสแพร่กระจายในธรรมชาติอย่างไร
การระบาด
โรคเอ็มพ็อกซ์ในมนุษย์ถูกตรวจพบเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2513 ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ผู้ป่วยคนแรกเป็นเด็กชายอายุ 9 ขวบที่อาศัยในภูมิภาคที่โรคฝีดาษถูกกำจัดไปแล้วเมื่อปี 2511 นับตั้งแต่นั้นมา มีรายงานว่าพบผู้ป่วยหลายรายจากพื้นที่ชนบทในเขตป่าฝนเขตร้อนของลุ่มน้ำคองโก โดยเฉพาะในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และมีรายงานการตรวจพบผู้ป่วยจากแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมา มีรายงานว่าพบผู้ป่วยโรคเอ็มพ็อกซ์ใน 11 ประเทศในทวีปแอฟริกา ได้แก่ เบนิน, แคมารูน, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, กาบอง, ไอวอรีโคสต์, ไลบีเรีย, สาธารณรัฐคองโก, เซียร์ราลีโอน และซูดานใต้ ปัจจุบันยังไม่ทราบว่า จริง ๆ มีการติดเชื้อของโรคเอ็มพ็อกซ์อยู่เท่าไร ตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2539-2540 มีรายงานว่าเกิดการระบาดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก การระบาดครั้งนั้นมีอัตราการป่วยตายต่ำกว่าและอัตราการติดเชื้อสูงกว่าปกติ นอกจากนี้ พบว่าเกิดการระบาดของโรคอีสุกอีใส (เกิดจากไวรัส varicella ซึ่งไม่ใช่ไวรัสในสกุล orthopoxvirus) และโรคเอ็มพ็อกซ์ในช่วงเวลาเดียวกัน กรณีนี้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในพลวัตการแพร่เชื้อที่ชัดเจนหรือเกิดขึ้นจริง นับตั้งแต่ปี 2560 ไนจีเรียเผชิญการระบาดครั้งใหญ่ที่มีผู้ป่วยสงสัยกว่า 500 รายและผู้ป่วยยืนยันกว่า 200 ราย อัตราการป่วยตายอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 และมีรายงานการตรวจพบผู้ป่วยต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
โรคเอ็มพ็อกซ์เป็นโรคที่มีความสำคัญทางสาธารณสุขระดับโลก เนื่องจากผลกระทบไม่จำกัดแค่ในประเทศแถบแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางแต่ขยายออกไปยังประเทศอื่นทั่วโลก ในปี 2546 การระบาดของโรคเอ็มพ็อกซ์นอกทวีปแอฟริกาเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกรณีที่เชื่อมโยงไปถึงการสัมผัสกับกระรอกดิน (prairie dog) ติดเชื้อ สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ถูกเลี้ยงอยู่ในกรงเดียวกับหนูแกมเบียที่มีถุงหน้าท้องและหนูดอร์เมาซ์ที่นำเข้ามาจากประเทศกานา ในการระบาดครั้งนั้น มีผู้ป่วยโรคเอ็มพ็อกซ์กว่า 70 รายในสหรัฐฯ มีรายงานว่าตรวจพบโรคเอ็มพ็อกซ์ในผู้เดินทางจากไนจีเรียไปยังอิสราเอลในเดือนกันยายน 2561, จากไนจีเรียไปยังสหราชอาณาจักรในเดือนกันยายน 2561 ธันวาคม 2562 พฤษภาคม 2564 และพฤษภาคม 2565, จากไนจีเรียไปยังสิงคโปร์ในเดือนพฤษภาคม 2562 และจากไนจีเรียไปยังสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมและพฤศจิกายน 2564 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 มีรายงานว่าตรวจพบผู้ป่วยโรคเอ็มพ็อกซ์หลายรายในหลายประเทศที่ไม่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายงานที่ดำเนินการอยู่เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในแง่ระบาดวิทยา แหล่งติดเชื้อ และลักษณะการแพร่กระจาย
การแพร่เชื้อ
การแพร่เชื้อของโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนอาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับเลือด ของเหลวในร่างกาย รอยโรคผิวหนังหรือเยื่อเมือกของสัตว์ติดเชื้อโดยตรง ในทวีปแอฟริกา มีหลักฐานที่ยืนยันการตรวจพบการติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์ในสัตว์หลายชนิด ได้แก่ กระรอกเชือก, กระรอกต้นไม้, หนูแกมเบียที่มีถุงหน้าท้อง, หนูดอร์เมาซ์, สัตว์ตระกูลลิงหลายชนิด และสัตว์ชนิดอื่น แหล่งรังโรคในธรรมชาติของไวรัสเอ็มพ็อกซ์ยังไม่ถูกระบุแน่ชัด แต่สัตว์ฟันแทะมีความเป็นไปได้มากที่สุด การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกพอและผลิตภัณฑ์อื่นจากสัตว์ติดเชื้อเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เป็นไปได้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณหรือใกล้พื้นที่ป่าอาจมีโอกาสทางอ้อมหรือโอกาสเสี่ยงน้อยที่จะสัมผัสสัตว์ติดเชื้อ
การแพร่เชื้อจากคนสู่คนเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจหรือรอยโรคผิวหนังของผู้ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนไม่นาน ปกติการแพร่เชื้อผ่านละอองน้ำจากการหายใจเกิดขึ้นได้เมื่อใบหน้าอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งเป็นเหตุให้บุคลากรสาธารณสุข คนในบ้านเดียวกัน และผู้สัมผัสใกล้ชิดคนอื่นของผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ห่วงโซ่การแพร่เชื้อในชุมชนที่ยาวที่สุดที่ถูกบันทึกไว้ได้เพิ่มขึ้นและสถิติการติดเชื้อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 6 รายเป็น 9 ราย ตัวเลขนี้อาจแสดงถึงภูมิคุ้มกันในทุกชุมชนที่ลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากยุติการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษ นอกจากนี้ การแพร่เชื้ออาจเกิดขึ้นผ่านรกจากแม่สู่ทารกในครรภ์ (ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคเอ็มพ็อกซ์ตั้งแต่กำเนิด) หรือเกิดขึ้นระหว่างการสัมผัสใกล้ชิดขณะคลอดและหลังคลอด ถึงแม้ว่าการสัมผัสใกล้ชิดทางกายเป็นปัจจัยเสี่ยงการแพร่เชื้อที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ปัจจุบันยังไม่แน่ชัดว่าโรคเอ็มพ็อกซ์สามารถแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ และจำเป็นต้องทำการวิจัยเพื่อเข้าใจความเสี่ยงนี้มากขึ้น
อาการแสดงและอาการ
โดยปกติ ระยะเวลาฟักตัว (ช่วงเวลาตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ) ของโรคเอ็มพ็อกซ์มีตั้งแต่ 6 ถึง 13 วัน แต่ก็อาจอยู่ที่ 5-21 วัน
การติดเชื้อแบ่งเป็น 2 ระยะดังนี้
- ระยะก่อนออกผื่น (invasion period) (กินเวลา 0-5 วัน) อาการประกอบด้วยมีไข้, ปวดศีรษะมาก, ต่อมน้ำเหลืองโต, ปวดหลัง, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียมาก ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตเป็นลักษณะเด่นของโรคเอ็มพ็อกซ์ เปรียบเทียบกับโรคอื่นที่อาจแสดงอาการแรกเริ่มคล้ายกัน (อีสุกอีใส หัด และฝีดาษ)
- ระยะออกผื่น (skin eruption period) ปกติเริ่มภายใน 1-3 วันหลังจากเริ่มมีไข้ ตุ่มผื่นมักขึ้นหนาแน่นบนใบหน้าและแขนขามากกว่าลำตัว โดยเฉพาะใบหน้า (ร้อยละ 95) และฝ่ามือฝ่าเท้า (ร้อยละ 75) นอกจากนี้ เยื่อบุช่องปาก (ร้อยละ 70) อวัยวะเพศ (ร้อยละ 30) เยื่อบุตา (ร้อยละ 20) และกระจกตาก็ได้รับผลกระทบด้วย ผื่นจะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงตามลำดับดังนี้ เริ่มจากผื่นราบ (รอยโรคที่มีฐานแบนราบ) เปลี่ยนเป็นผื่นนูน (รอยโรคที่เป็นตุ่มแข็งนูนเล็กน้อย), ถุงน้ำ (รอยโรคที่มีของเหลวใสบรรจุอยู่ภายใน), ตุ่มหนอง (รอยโรคที่มีของเหลวสีเหลืองบรรจุอยู่ภายใน) และแผ่นสะเก็ดที่แห้งและลอกออกเอง รอยโรคมีจำนวนแตกต่างกัน ตั้งแต่ไม่กี่รอยถึงหลายพันรอย ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รอยโรคอาจขยายรวมกันเป็นปื้นใหญ่จนกระทั่งผิวหนังลอกออกเป็นแผ่นใหญ่ ๆ
ปกติโรคเอ็มพ็อกซ์เป็นโรคที่หายได้เอง ระยะแสดงอาการกินเวลาตั้งแต่ 2 ถึง 4 สัปดาห์ อาการป่วยรุนแรงเกิดขึ้นในเด็กมากกว่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณไวรัสที่ได้รับ สถานะสุขภาพของผู้ป่วย และลักษณะของภาวะแทรกซ้อน ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลของโรคเลวร้ายมากขึ้น ถึงแม้ว่าการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษมีคุณสมบัติป้องกันโรคฝีดาษในอดีต ปัจจุบันคนที่มีอายุน้อยกว่า 40-50 ปี (ขึ้นอยู่กับประเทศ) อาจเสี่ยงติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์ง่ายขึ้นเนื่องจากการยุติการรณรงค์ฉีดวัคซีนโรคฝีดาษทั่วโลกภายหลังโรคนี้ถูกกำจัดจนหมดสิ้น ภาวะแทรกซ้อนของโรคเอ็มพ็อกซ์ ได้แก่ ภาวะติดเชื้อทุติยภูมิ, โรคปอดบวมร่วมกับหลอดลมอักเสบ, ติดเชื้อในกระแสเลือด, โรคไข้สมองอักเสบ และภาวะกระจกตาติดเชื้อที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับภาวะติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการที่อาจเกิดขึ้นได้
ในอดีต อัตราการป่วยตายของโรคเอ็มพ็อกซ์อยู่ที่ร้อยละ 0-11 ในประชากรทั่วไปและอัตรานี้สูงขึ้นในกลุ่มเด็กเล็ก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อัตราการป่วยตายอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-6
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยแยกโรคที่ต้องพิจารณาลักษณะอาการร่วมประกอบด้วยภาวะเจ็บป่วยอย่างอื่นที่ทำให้เกิดผื่นผิวหนัง อาทิ โรคอีสุกอีใส, โรคหัด, โรคผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย, โรคหิด, โรคซิฟิลิส และภาวะภูมิแพ้ที่เกิดจากยา ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตในระยะเริ่มแสดงอาการของภาวะเจ็บป่วยเป็นอาการที่สังเกตได้อย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้โรคเอ็มพ็อกซ์แตกต่างจากโรคอีสุกอีใสหรือโรคฝีดาษ
หากสงสัยว่าเป็นโรคเอ็มพ็อกซ์ บุคลากรสาธารณสุขควรเก็บตัวอย่างที่เหมาะสมและส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการที่มีสมรรถนะการตรวจวิเคราะห์เหมาะสมอย่างปลอดภัย การยืนยันว่าเป็นโรคเอ็มพ็อกซ์ขึ้นอยู่ประเภทและคุณภาพของตัวอย่างส่งตรวจและประเภทของการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ดังนั้น ควรเก็บตัวอย่างในภาชนะบรรจุและจัดส่งตัวอย่างตามข้อกำหนดของประเทศและข้อกำหนดสากล polymerase chain reaction (PCR) เป็นวิธีการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการที่นิยมใช้มากกว่าวิธีการอื่น เนื่องจาก PCR มีความแม่นยำและความไว (sensitivity) ที่เหมาะสม ตัวอย่างส่งตรวจที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคเอ็มพ็อกซ์คือตัวอย่างจากรอยโรคผิวหนัง ได้แก่ เปลือกหรือของเหลวจากถุงน้ำและตุ่มหนอง และสะเก็ดแห้ง ถ้าทำได้ การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง พึงเก็บตัวอย่างรอยโรคไว้ในหลอดปลอดเชื้อที่แห้ง (ไม่มีน้ำยา viral transport media) และเก็บไว้ในที่เย็น โดยปกติ การตรวจเลือดด้วย PCR จะให้ผลการตรวจที่สรุปไม่ได้เนื่องจากไวรัสอยู่ในเลือดเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ตามระยะเวลาที่เก็บตัวอย่างส่งตรวจหลังจากเริ่มแสดงอาการ และปกติไม่ควรเก็บตัวอย่างเลือดจากผู้ป่วยทุกครั้ง
เนื่องจาก orthopoxvirus มีคุณสมบัติ serologically cross-reactive วิธีการตรวจหาแอนติเจนและแอนติบอดีไม่ให้ผลที่ยืนยันโรคฝีดาษวานรอย่างเจาะจง ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีการตรวจแบบ serology หรือการตรวจหาแอนติเจนสำหรับการวินิจฉัยโรคหรือการสืบสวนผู้ป่วยในกรณีที่มีทรัพยากรน้อย นอกจากนี้ ผู้ที่ฉีดวัคซีนแบบvaccinia-based vaccine เมื่อไม่นานนี้หรือเมื่อนานมาแล้ว (เช่น คนที่ฉีดวัคซีนก่อนโรคฝีดาษถูกกำจัดไปแล้วหรือฉีดวัคซีนเมื่อเร็ว ๆ นี้เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป เช่น บุคลากรที่ทำงานในห้องปฏิบัติการที่ตรวจวิเคราะห์ orthopoxvirus) อาจทำให้ผลการตรวจได้ผลบวกปลอมได้ ในการแปลผลการตรวจ จำเป็นต้องส่งข้อมูลผู้ป่วยไปพร้อมกับตัวอย่างส่งตรวจ ได้แก่ ก) วันที่เริ่มมีไข้ ข) วันที่เก็บตัวอย่าง ค) สถานะปัจจุบันของผู้ป่วย (ระยะของผื่น) และ ง) อายุ
ยารักษา
การรักษาโรคเอ็มพ็อกซ์ควรดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ จัดการกับภาวะแทรกซ้อน และป้องกันผลจากการติดเชื้อในระยะยาว ผู้ป่วยควรได้รับของเหลวและอาหารเพื่อให้สถานะทางโภชนาการอยู่ในระดับดีตลอดการรักษา การติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิควรได้รับการรักษาตามข้อบ่งชี้ ยาต้านไวรัสชื่อ tecovirimat ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาโรคฝีดาษได้รับอนุมัติให้ ใช้รักษาโรคเอ็มพ็อกซ์โดยสมาคมการแพทย์แห่งยุโรป (EMA) ในปี 2565 ตามข้อมูลการวิจัยในสัตว์และมนุษย์ แต่ยาชนิดนี้ยังไม่แพร่หลายทั่วไป
หากใช้ tecovirimat รักษาผู้ป่วย ควรติดตามตรวจสอบผลการรักษาในบริบทของการวิจัยทางคลินิกที่มีการเก็บข้อมูลเพื่อติดตามผลในอนาคต
การฉีดวัคซีน
ในงานวิจัยเชิงสังเกตหลายงาน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคเอ็มพ็อกซ์ได้สูงถึงร้อยละ 85 ดังนั้น การฉีดวัคซีนโรคฝีดาษเมื่อก่อนอาจทำให้ภาวะการเจ็บป่วยรุนแรงน้อยลง ปกติหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษจะปรากฏเป็นแผลเป็นบนต้นแขน ในปัจจุบันไม่มีวัคซีนโรคฝีดาษชนิดเดิม (รุ่นแรก) ที่ให้บริการแก่ประชาชนแล้ว แต่บุคลากรห้องปฏิบัติการหรือสาธารณสุขบางคนอาจได้รับวัคซีนโรคฝีดาษเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อไวรัส orthopoxvirus ในสถานที่ทำงาน ส่วนวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ที่ผลิตจากไวรัสวัคซิเนีย (สายพันธุ์ Ankara) ที่ใหม่กว่าได้รับอนุมัติให้ใช้ป้องกันโรคเอ็มพ็อกซ์ได้เมื่อปี 2562 วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนแบบ 2 โดสที่ยังไม่แพร่หลายมากนัก มีการพัฒนาวัคซีนฝีดาษและเอ็มพ็อกซ์เป็นสูตรที่แตกต่างกันตามชนิดของไวรัสฝีดาษ เนื่องจากการป้องกันแบบไขว้ (cross-protection) มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับ orthopoxvirus
การป้องกัน
การเพิ่มการรับรู้ปัจจัยเสี่ยงและการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับมาตรการที่ใช้ลดความเสี่ยงได้รับเชื้อไวรัสเป็นกลยุทธ์หลักในการป้องกันโรคเอ็มพ็อกซ์ ขณะนี้มีโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อประเมินความเป็นไปได้และความเหมาะสมของการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันและควบคุมโรคเอ็มพ็อกซ์ บางประเทศได้กำหนดหรือกำลังจัดทำนโยบายแจกจ่ายวัคซีนให้บุคคลที่อาจตกอยู่ในความเสี่ยง เช่น บุคลากรห้องปฏิบัติการ ทีมสอบสวนและควบคุมโรคเคลื่อนที่เร็ว และบุคลากรสาธารณสุข
การลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อจากคนสู่คน
การเฝ้าระวังและการระบุตัวผู้ป่วยรายใหม่อย่างรวดเร็วเป็นมาตรการที่สำคัญมากในการควบคุมการระบาด ในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคเอ็มพ็อกซ์ในมนุษย์ การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์ บุคลากรสาธารณสุขและคนในครอบครัวมีความเสี่ยงติดเชื้อสูงกว่าประชากรทั่วไป บุคลากรสาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยสงสัยหรือยืนยันติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์หรือรับส่งตัวอย่างส่งตรวจจากผู้ป่วยเหล่านี้ควรปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติมาตรฐานสำหรับการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ ถ้าทำได้ ควรเลือกคนที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษให้ไปดูแลผู้ป่วย
ตัวอย่างที่เก็บมาจากคนและสัตว์สงสัยติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์ควรได้รับการตรวจวิเคราะห์โดยบุคลากรที่ผ่านการอบรมที่ทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม พึงเตรียมตัวอย่างส่งตรวจของผู้ป่วยให้พร้อมสำหรับการขนส่งอย่างปลอดภัย โดยใส่ตัวอย่างไว้ในภาชนะบรรจุ 3 ชั้นตามคำแนะนำของ องค์การอนามัยโลก ว่าด้วยการขนส่งสารติดเชื้อ
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 มีการพบผู้ป่วยโรคเอ็มพ็อกซ์แบบเป็นกลุ่มก้อนในหลายประเทศที่ไม่ได้เป็นพื้นที่ระบาดของโรคเอ็มพ็อกซ์ และผู้ป่วยไม่มีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่มีการระบาดของโรคหรือประเทศที่มีเอ็มพ็อกซ์เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ ขณะนี้มีการสืบสวนโรคเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและระบุแหล่งติดเชื้อที่เป็นไปได้และจำกัดการแพร่ระบาดในอนาคต เนื่องจากการสืบสวนเพื่อชี้ชัดต้นตอของการระบาดยังไม่เสร็จสิ้น จึงจำเป็นต้องพิจารณาวิธีการแพร่กระจายเชื้อที่เป็นไปได้ทั้งหมด เพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการระบาดนี้
การลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คน
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ส่วนมากการติดเชื้อในมนุษย์เป็นการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คนที่เกิดขึ้นก่อน พึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่ป้องกัน โดยเฉพาะสัตว์ป่วยหรือตาย รวมทั้งเนื้อสัตว์ เลือด และชิ้นส่วนอื่น นอกจากนี้ อาหารทุกชนิดที่มีเนื้อสัตว์หรือชิ้นส่วนอื่นต้องถูกทำให้สุกก่อนรับประทาน
การป้องกันโรคเอ็มพ็อกซ์ด้วยมาตรการควบคุมการค้าสัตว์
บางประเทศกำหนดกฎระเบียบเพื่อควบคุมการนำเข้าสัตว์ฟันแทะและสัตว์ตระกูลลิง สัตว์ที่ถูกเลี้ยงในกรงที่อาจติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์ควรถูกแยกออกจากสัตว์อื่นและกักตัวทันที สัตว์ใดที่อาจสัมผัสกับสัตว์ติดเชื้อควรถูกกักกัน ดูแลตามมาตรการป้องกันมาตรฐาน และกักกันไว้สังเกตอาการโรคฝีดาษวานรเป็นเวลา 30 วัน
โรคเอ็มพ็อกซ์เกี่ยวข้องกับโรคฝีดาษอย่างไร
อาการที่สังเกตได้ของโรคเอ็มพ็อกซ์คล้ายลักษณะอาการของโรคฝีดาษ ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสในสกุล orthopoxvirus ที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไปแล้ว โรคฝีดาษแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าและทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า ประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดเสียชีวิต พบผู้ป่วยรายสุดท้ายที่ติดเชื้อไวรัสฝีดาษจากธรรมชาติเมื่อปี 2520 และในปี 2523 มีการประกาศว่าโรคฝีดาษถูกกำจัดจนหมดสิ้นทั่วโลกภายหลังการดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนและควบคุมโรคทั่วโลก ทุกประเทศจึงได้ยุติการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษที่เป็นวัคซีนแบบ vaccinia-based vaccines ตามกำหนดการฉีดวัคซีนโดยปกติเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว เนื่องจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ มีผลในการป้องกันโรคเอ็มพ็อกซ์ในแถบแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางได้ด้วย ปัจจุบันประชากรที่ไม่ได้รับวัคซีนจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสเอ็มพ็อกซ์ได้ง่ายกว่า
ถึงแม้ว่าโรคฝีดาษไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นในธรรมชาติอีกต่อไป ภาคสุขภาพทั่วโลกยังคงต้องเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่อาจกลับมาเกิดขึ้นได้อีกเนื่องจากกลไกทางธรรมชาติ อุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ หรือการจงใจปล่อยเชื้อไวรัส เพื่อให้มั่นใจว่าทั่วโลกมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับการอุบัติใหม่ของโรคฝีดาษ ขณะนี้มีวัคซีนและยาต้านไวรัสชนิดใหม่รวมทั้งวิธีการวินิจฉัยโรคแบบใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับการป้องกันและควบคุมวิธีการวินิจฉัยโรคด้วย
การดำเนินการขององค์การอนามัยโลก
องค์การอนามัยโลก สนับสนุนประเทศสมาชิกด้วยการดำเนินกิจกรรมการเฝ้าระวัง การเตรียมความพร้อม และการควบคุมการระบาดสำหรับโรคเอ็มพ็อกซ์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษาอังกฤษต้นฉบับ ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2565: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/monkeypox