ปัญหาเรื้อรังจากมลพิษทางอากาศในประเทศไทยทั้งจากไฟป่าตามฤดูกาลและจากการทำการเกษตรได้ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสุขภาพของประชาชน แม้จะมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง แต่ผลกระทบที่แท้จริงของโครงการริเริ่มเหล่านี้กำลังค่อยๆ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน การใช้มาตรการในการป้องกันควบคู่กับนวัตกรรมเพื่อชุมชนเป็นสิ่งจําเป็นเร่งด่วนในการปกป้องสุขภาพอย่างทันท่วงที

ด้วยตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนดังกล่าว กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยและองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย จึงได้ร่วมกันระบุและแบ่งปันกลยุทธ์ท้องถิ่นที่ประสบความสําเร็จ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ ความร่วมมือนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการนําแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพไปใช้ทั่วประเทศ ส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรมในระดับชุมชน

เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง: ความสําเร็จระดับรากหญ้า

ใจความสำคัญของเรื่องนี้คือ การดำเนินการเปลี่ยนแปลงของชุมชนในตำบลปิงโค้ง ตำบลแม่นะ และตำบลสบป่อง พื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยและได้กลายมาเป็นแบบอย่างของการริเริ่มโครงการในท้องถิ่นที่สามารถนำไปสู่การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขอย่างมีความหมาย

ชุมชนในตำบลปิงโค้งได้เปลี่ยนไปสู่แนวทางเกษตรแบบยั่งยืน ที่รักษาและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสนับสนุนความเสมอภาคทางสังคม โครงการต่างๆ เช่น โครงการหลวงห้วยลึก มีบทบาทสำคัญในการลดมลพิษทางอากาศจากการเผาพืชผล โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรเลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือเลิกทำการปลูกพืชชนิดเดียวในระบบเกษตรกรรมในช่วงเวลาใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกข้าวโพดแบบถางโค่นแล้วเผาไร่ และเปลี่ยนไปปลูกพืชผลที่หลากหลายขึ้น เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้และอะโวคาโด การจัดสรรพื้นที่เกษตรกรรมเชิงกลยุทธ์ให้กับพืชผลที่ก่อมลพิษน้อยลง ถือเป็นการละทิ้งแนวทางปฏิบัติแบบดั้งเดิมที่มักเกี่ยวข้องกับการเผา การตลาดแบบดิจิตอลยังช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมนี้ด้วย เกษตรกรอย่างคุณคมสิทธิ์ เล่าฮาง ผู้บุกเบิกการทำไร่กุหลาบในปี 2562 (2019) ได้ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเช่น Facebook และ TikTok ซึ่งแนวทางนี้ช่วยให้เข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาแนวการตลาดแบบเดิม วิธีนี้มีส่วนช่วยลดมลพิษทางอากาศทางอ้อมด้วย ความสําเร็จในชุมชนปิงโค้งเน้นให้เห็นถึงแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวมที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน กลยุทธ์เหล่านี้นอกจากจะจัดการกับมลพิษทางอากาศแล้ว ในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่นๆ ที่เผชิญกับความท้าทายแบบเดียวกัน

ชุมชนในตำบลแม่นะได้นํากลยุทธ์ที่หลากหลายมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์นี้รวมถึงโครงการสินเชื่อคาร์บอน ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนของตน ด้วยการลงทุนในโครงการริเริ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น เช่น โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงร่วมกับกรมป่าไม้ โดยมุ่งเน้นการทําเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ป่าสงวนของดอยหลวง จ.เชียงใหม่ โครงการนี้ส่งเสริมให้เกษตรกรนําแนวปฏิบัติที่ลดการเผาไหม้และการใช้เชื้อเพลิงมาใช้ เกษตรกรจะได้รับรางวัลประจำปีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มุ่งป้องกันไฟป่า เช่น กิจกรรมการปลูกป่าทดแทนและการสร้างแนวกั้นสำหรับกักเก็บน้ำไว้เพื่อเพิ่มระดับความชุ่มชื้นในผืนป่า นอกจากนี้ชุมชนยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและการเติบโตอย่างยั่งยืนของชุมชนท้องถิ่น นอกจากโครงการริเริ่มเหล่านี้แล้ว ชุมชนแม่นะได้ดําเนินการตามแนวทางการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าขยะจะลดลง สามารถนํากลับมาใช้ซ้ำ และนําไปแปรรูปเพื่อกลับมาใช้ใหม่แทนการเผาเพื่อลดผลกระทบต่อมลพิษทางอากาศให้เหลือน้อยที่สุด ความพยายามร่วมกันเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ที่หลากหลายสามารถทํางานร่วมกันได้เพื่อปรับปรุงคุณภาพของอากาศและนําไปสู่สภาพความเป็นอยู่ที่ดีต่อสุขภาพได้อย่างไร จุดยืนเชิงรุกของชุมชนในด้านสาธารณสุขจะเห็นได้จากการตรวจสอบความเสี่ยงด้านมลพิษและการริเริ่มอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งได้ส่งผลให้ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับมลพิษลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ชุมชนในตำบลสบป่อง ตั้งอยู่ในอําเภอปางมะผ้าของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ชุมชนสบป่องได้เริ่มต้นเส้นทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยทําหน้าที่เป็นดั่งแสงนำทางแห่งนวัตกรรมและความมุ่งมั่น กลยุทธ์หลัก คือ การบุกเบิกโครงการพลังงานหมุนเวียน ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในอาคารชุมชนและบ้านเรือน

โครงการริเริ่มที่โดดเด่นคือ "โครงการโรงเรียนสีเขียว" ได้ปฏิวัติการศึกษาในท้องถิ่นด้วยการขับเคลื่อนโรงเรียนทั้งหมดผ่านพลังงานแสงอาทิตย์ โดยปลูกฝังหลักการความยั่งยืนให้รุ่นต่อไป โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ปรับขนาดได้ ชุมชนสบป่องได้ขยายความพยายามด้านสิ่งแวดล้อมให้ใหญ่ขึ้น ด้วยการเปิดตัว "โปรแกรมโฮมสเตย์ที่ยั่งยืน" แนวทางใหม่ในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โปรแกรมนี้จะเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับหลากหลายครอบครัวที่ทําเกษตรอินทรีย์ ทำการฟื้นฟูป่าและปฏิบัติตามแนวทางการอนุรักษ์ป่า โดยนำเสนอประสบการณ์ตรงในด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืน การทอผ้าแบบดั้งเดิม และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีส่วนช่วยโดยตรงต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจและความสามารถในการปรับตัวของชุมชน โปรแกรมนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในหมู่นักท่องเที่ยวและคนในชุมชน โดยส่งเสริมวัฒนธรรมการอนุรักษ์ โครงการริเริ่มเหล่านี้ในชุมชนสบป่องยังได้รับการส่งเสริมด้วยการบริหารจัดการขยะที่นำโดยชุมชนและการประชุมเชิงปฏิบัติการการอนุรักษ์น้ำ โดยให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับการลดการใช้พลาสติกและการรักษาทรัพยากรน้ำ การดําเนินการร่วมกันในชุมชนสบป่อง ตั้งแต่การนําพลังงานหมุนเวียนมาใช้ไปจนถึงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการศึกษาด้านการอนุรักษ์ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่ครอบคลุมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการจัดการกับข้อกังวลเร่งด่วนเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศและการวางรากฐานสําหรับอนาคตที่ยั่งยืน แสดงให้เห็นถึงพลังของการมีส่วนร่วมของชุมชนและแนวทางปฏิบัติที่เป็นนวัตกรรมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

แสงแห่งความหวังของโลก

นายแพทย์จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทยได้กล่าวชื่นชมความคิดริเริ่มที่นําโดยชุมชนต่างๆ ของประเทศไทยว่า "แนวทางของประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงผลกระทบอย่างลึกซึ้งของการดําเนินการระดับรากหญ้าในการจัดการกับความท้าทายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังของการแก้ปัญหาจากท้องถิ่นสู่การส่งเสริมโลกให้มีสุขภาพดีและยั่งยืนยิ่งขึ้น"

สู่อนาคตที่สะอาดและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

เส้นทางของประเทศไทยในการบุกเบิกแนวทางการแก้ปัญหาในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นย้ำถึงความสําคัญของการดําเนินการของชุมชนและนวัตกรรมด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้วยการแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงต่อสู้เพื่อให้เกิดอากาศที่สะอาดขึ้นเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้บุคคล ผู้กําหนดนโยบาย และภาคส่วนต่างๆ ทั่วโลกได้ดำเนินรอยตาม เรื่องราวนี้ทําหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้แต่ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่น่ากลัวที่สุดก็สามารถแก้ไขจัดการได้ด้วยความพยายามร่วมกัน การปรับตัวของชุมชนและความมุ่งมั่นในการดํารงชีวิตอย่างยั่งยืน

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่: Resilient Communities for the Management and Prevention of Health Impacts from Air Pollution: Lessons learn from Thailand