ทุกๆ เช้าของคุณวรรณี พยาบาลนอกเวลาวัย 63 ปี จะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกิจวัตรประจําวันที่เปี่ยมไปด้วยความทุ่มเทอย่างเงียบๆ และความรักอันลึกซึ้ง โดยคุณวรรณีอาศัยอยู่กับแม่วัย 93 ปีเพียงสองคน ทำให้ชีวิตของเธอได้เปลี่ยนไปจากอาชีพพยาบาลที่แสนวุ่นวายสู่การดูแลแม่ที่รักด้วยความเอาใจใส่ แม้เธอจะมีพี่น้องที่สามารถช่วยเหลือได้ แต่หน้าที่ดูแลหลักก็ตกอยู่กับเธอโดยปริยายเนื่องจากเป็นลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานและมีพื้นฐานการพยาบาล ชีวิตประจําวันของเธอและแม่ถูกเกี่ยวร้อยเข้าด้วยกันจากการใช้เวลาร่วมกัน ตั้งแต่การทําอาหารง่ายๆ ให้แม่ของเธอไปจนถึงการพูดคุยเรื่องราวต่างๆ เพื่อให้แม่สบายใจ และเนื่องในวันสตรีสากลนี้พวกเราขอเฉลิมฉลองให้กับความเข้มแข็งในความเงียบและการปรับตัวของผู้ดูแลหญิงนอกระบบของประเทศไทย เช่น คุณวรรณี ผู้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการอุทิศตนในการดูแลสังคมผู้สูงวัย

ในประเทศไทย สมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะเพศหญิงจะเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุเป็นหลักโดยที่ไม่มีค่าจ้าง พวกเขาลดภาระที่มีต่อระบบสุขภาพและการดูแลทางสังคมของประเทศสำหรับผู้สูงอายุโดยรับหน้าที่ผู้ดูแลในระยะยาว ผู้หญิงเหล่านี้เป็นวีรสตรีที่ไม่มีใครรู้จักแต่มีบทบาทสําคัญในการแบ่งเบาภาระระบบการดูแลสุขภาพของประเทศไทยด้วยการให้การดูแลผู้สูงอายุที่พวกเธอรักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าพวกเธอจะมีส่วนช่วยเหลืออย่างมากแก่ผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น แต่ผู้ดูแลเหล่านี้มักจะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ แม้รัฐบาลจะตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างมีสุขภาพที่ดี แต่บทบาทสำคัญของผู้ดูแลที่อุทิศตนเหล่านี้ในสังคมก็ควรต้องได้รับการยอมรับในคุณค่าเช่นกัน ประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 13 ล้านคน และได้เดินมาถึงทางแยกสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกำหนดนโยบายการดูแลระยะยาวที่เหมาะสมและครอบคลุมสวัสดิการของผู้ดูแลเหล่านี้ด้วย

การอุทิศตนของคุณวรรณีในการดูแลแม่คือการตัดสินใจส่วนตัวที่มาจากความรักและความสำนึกรับผิดชอบต่อครอบครัว เบี้ยสวัสดิการเพียงเล็กน้อยของรัฐบาลจำนวน 1,000 บาท สำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 90 ปีขั้นไปนั้น แสดงถึงการรับรู้ต่อบทบาทของเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความรู้สึกและโอกาสในการตอบแทนการดูแลในอดีตของแม่ต่างหากที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธออย่างแท้จริง ที่สำคัญแม่ของเธอใช้เบี้ยคนชรานี้เพื่อความสุขส่วนตัว เช่น ถวายพระ ซื้อขนม ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยที่คุณวรรณีไม่ได้นำไปใช้ส่วนตัว เธอกล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับด้านการเงินใดๆ” แต่มันคือ “การอยู่เคียงข้างคนที่เคยดูแลเรามาก่อน” ภาพสะท้อนความคิดของคุณวรรณีว่าชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรหากเธอไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในฐานะผู้ดูแลเผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งเธอกล่าวว่า “อาจมีอิสระในชีวิตมากขึ้นหรือบางทีอาจมีโอกาสมากขึ้นในการพัฒนาอาชีพการงานและการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมมากขึ้น แต่การดูแลแม่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีก็เป็นความพึงพอใจที่ต่างออกไป”

ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมมีส่วนทำให้ผู้หญิงรับบทบาทหน้าที่ในการดูแลผู้สูงอายุเสียเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงความคาดหวังตามบทบาทเพศภาวะแบบดั้งเดิมและการเข้าใจว่างานดูแลในบ้านเป็นความรับผิดชอบของผู้หญิง องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ชี้ให้เห็นถึงภาระงานด้านสุขภาพที่สำคัญที่ผู้ดูแลนอกระบบจำเป็นต้องแบกรับ โดยย้ำถึงความเครียดทั้งทางกาย อารมณ์ และการเงินที่เกี่ยวข้องกับบทบาทนี้ คำกล่าวของคุณวรรณีแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการเสียสละส่วนตัวที่ทุ่มเทให้กับการดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่องานส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครแลเห็น

เพื่อจัดการกับภาระของผู้ดูแลนอกระบบเหล่านี้ คุณวรรณีเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือมากขึ้น โดยขอให้มีการสนับสนุนผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น มีกลุ่มเพื่อนผู้มีประสบการณ์ชีวิตที่คล้ายกันสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีบริการดูแลผู้ป่วยแบบชั่วคราวระยะสั้น ซึ่งคุณวรรณีเชื่อว่า “การลงทุนกับผู้หญิงที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ยากไร้เป็นสิ่งสำคัญ หากประเทศไทยมีระบบรองรับเพื่อช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเพื่อนและอาสาสมัคร หรือเจ้าหน้าที่ที่สามารถให้การดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม เราก็จะสามารถไปทำกิจกรรมที่เราต้องการได้อย่างอิสระและเต็มที่มากขึ้น จะได้เห็นสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเองดีขึ้น และมีโอกาสได้มีปฎิสัมพันธ์ทางสังคมร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้หญิงแต่เพียงผู้เดียว แต่ทุกคนในครอบครัวและสังคมก็ควรมีส่วนช่วยเช่นเดียวกัน”

คุณวรรณีหวังว่าในอนาคตจะมีมาตราการช่วยเหลือผู้ดูแลมากยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นแค่การแสดงความเห็นใจเท่านั้น โดยเธอมองถึงชุมชนที่มีเครือข่ายสนับสนุนอันแข็งแกร่ง รวมถึงกลุ่มเพื่อนๆ ผู้ดูแล และระบบบริการดูแลผู้ป่วยแบบชั่วคราวระยะสั้น มาตรการดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการรับรู้ถึงความสำคัญของงานผู้ดูแลเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาได้รับการแบ่งเบาภาระที่จำเป็นและได้รับการยอมรับมากขึ้นอีกด้วย

นายแพทย์จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย ได้เรียกร้องให้มีการดำเนินการโดยกล่าวว่า “ความทุ่มเทของผู้ดูแลนอกระบบที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนเหล่านี้มักถูกมองข้ามว่าเป็นหนึ่งในเสาหลักในการให้บริการของระบบการดูแลสุขภาพของเรา... จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องรวมตัวกันเป็นสังคมเพื่อจัดการกับทัศนคติเหมารวมทางเพศที่มีต่อผู้ดูแลนอกระบบ ให้การช่วยเหลือในเรื่องที่จำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา และให้การยอมผู้หญิงเหล่านี้อย่างที่เขาสมควรได้รับ”

เนื่องในวันสตรีสากลนี้ ขอยกย่องผู้ดูแลหญิงนอกระบบของประเทศไทยที่มากกว่าคำพูด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้รับการยอมรับ การสนับสนุน และคำชื่นชมที่พวกเขาสมควรได้รับ มาช่วยกันสาดแสงสว่างให้ส่องไปถึงยังผู้ดูแลที่ไม่มีใครแลเห็นเหล่านี้ ผู้ซึ่งนำความอบอุ่นและความห่วงใยมาสู่ชีวิตผู้สูงอายุในทุกๆ วัน