6 กรกฎาคม 2566 / ประเด็นเด่น
สำนักงานเลขาธิการกรอบอนุสัญญาการควบคุมการบริโภคยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ศูนย์วิชาการมาตรา 5.3 ที่ว่าด้วยการป้องกันการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ได้ร่วมกันประชุมเพื่อทบทวนมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบของประเทศไทยตามคำร้องขอของรัฐบาลไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 12 – 16 มิถุนายน 2566 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ นโยบาย มาตรการควบคุมยาสูบของประเทศไทย และช่องว่างในการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญา WHO FCTC และเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขเพื่อลดช่องว่างเหล่านี้ โดยผู้มีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมในการควบคุมยาสูบของประเทศไทยได้เข้าร่วม มีการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ และระบุความก้าวหน้าและความท้าทาย การทบทวนดังกล่าวเน้นย้ำถึงจุดแข็งของประเทศไทยในการควบคุมยาสูบ แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่าง และอุปสรรคต่างๆ ที่สำคัญอีกด้วย
จากการประชุมทวิภาคีกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาไทย และกระทรวงศึกษาธิการ) องค์กรภาคประชาสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานของสหประชาชาติ ข้อมูลอันมีคุณค่าได้รับการเก็บรวบรวมในระหว่างการประเมิน ซึ่งข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะเหล่านี้เป็นข้อมูลนำเข้าที่สำคัญเพื่อการทบทวนนโยบาย และมาตรการเพื่อการควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบ และการปกป้องสุขภาพของประชาชนจากพิษภัยของยาสูบ

ทีมทบทวนการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาฯ ได้รับการต้อนรับจากอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข © กระทรวงสาธารณสุข 2566

การประชุมทวิภาคีระหว่างรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และทีมทบทวนการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาฯ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับบทบาทของกระทรวงมหาดไทยต่อการควบคุมยาสูบ © กระทรวงมหาดไทย 2566

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบทีมทบทวนการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาฯ เพื่อแบ่งปันข้อมูลการบริหารกองทุนที่ได้จากภาษีสุขภาพ © สสส. 2566
ทบทวนการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาฯ: การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและมาตรการที่ก้าวหน้า
ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นในการควบคุมยาสูบ โดยให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ด้านการสาธารณสุขมากกว่าผลทางเศรษฐกิจ โดยมีพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีมาตรการครอบคลุมและการดำเนินการอย่างเข้มแข็งโดยกระทรวงสาธารณสุข และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ รวมถึงคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติที่ตระหนักถึงมาตรการที่จำเป็นในการควบคุมยาสูบอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม นอกจากนี้ นโยบายภาษีที่ก้าวหน้าของประเทศไทยสามารถลดการบริโภคยาสูบได้สำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการบรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะประเด็นการประสานงานระหว่างหน่วยงานในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพยังคงมีอยู่แม้ว่าจะมีความร่วมมือจากหลายภาคส่วนก็ตาม การเพิ่มประสิทธิภาพความพยายามและการปรับปรุงการสื่อสารระหว่างหน่วยงานระดับชาติและระดับจังหวัดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับอัตราภาษีให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ และเพิ่มภาษีผลิตภัณฑ์ยาสูบราคาถูก การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบให้เปลี่ยนมาปลูกพืชทดแทนที่ยั่งยืนและคงไว้ซึ่งการห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นสิ่งที่ได้รับการเน้นย้ำเช่นกัน
ข้อเสนอแนะสำหรับนโยบายและมาตการการควบคุมยาสูบของประเทศไทย
มีการเสนอข้อแนะนำเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญ 5 ประการตามแนวทางของ WHO FCTC ซึ่งรวมถึง:
การเร่งทำความเข้าใจกับหน่วยงานรัฐต่างๆ และดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องนโยบายสาธารณะจากการแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ (มาตรา 5.3 ของ WHO FCTC)
- ดำเนินการห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กและเยาวชน
- สนับสนุนหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการและบังคับใช้มาตรการควบคุมยาสูบที่มีประสิทธิภาพผ่านทางคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบประจำจังหวัด โดยปรับให้เหมาะกับความต้องการและสถานการณ์เฉพาะของแต่ละภูมิภาค
- จัดเตรียมข้อมูลสำหรับการให้สัตยาบันพิธีสารเพื่อขจัดการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย และการดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับนโยบายภาษีเพื่อการควบคุมยาสูบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มอัตราภาษียาสูบชนิดบุหรี่มวนเอง
ทบทวนการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาฯ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการดำเนินงานด้านสาธารณสุขและการควบคุมยาสูบของประเทศไทย อีกทั้ง ยังเป็นตัวอย่างให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสุขภาพดีขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากและข้อเสนอแนะที่ได้จากการทบทวนครั้งนี้

รวมพลังเพื่ออนาคตที่ปลอดจากยาสูบ: ผู้นำและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมารวมตัวกันในการประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับการใช้ยาสูบและการปกป้องสุขภาพของประชาชน © กระทรวงสาธารณสุข 2566
การจัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากบริษัทยาสูบ:
ความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการควบคุมยาสูบและการเป็นผู้นำระดับโลกในด้านสาธารณสุขได้รับการตอกย้ำโดยการจัดตั้ง "ศูนย์ความรู้สำหรับมาตรา 5.3 ของ WHO-FCTC" นอกเหนือจากการทบทวนการดำเนินงานตามกรอบอนุสัญญาฯ แล้ว ยังมีการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สำนักงานเลขาธิการของกรอบอนุสัญญา WHO-FCTC โดยศูนย์ความรู้ดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นเวทีสำคัญในการต่อต้านอิทธิพลของอุตสาหกรรมและปรับปรุงมาตรการควบคุมยาสูบในระดับโลก

(ซ้ายไปขวา) ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ แพทย์หญิงเอเดรียนา บลังโก มาร์กิโซ หัวหน้าสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก แสดงบันทึกความเข้าใจที่ได้มีการลงนาม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ในการต่อสู้กับการใช้ยาสูบ © องค์การอนามัยโลก 2566
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่:
ศูนย์ความรู้สำหรับมาตรา 5.3 ที่ว่าด้วยการป้องกันการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบ (WHO FCTC Article 5.3 Knowledge Hub )