Coronavirus disease (COVID-19) questions and answers on Herd immunity, lockdowns and COVID-19

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ภูมิคุ้มกันหมู่ ล็อคดาวน์ และโรคโควิด 19

31 ธันวาคม 2563 | ตอบข้อสงสัย
ปรับปรุงเมื่อ 31 ธันวาคม 2563 

**เอกสารนี้ประกอบไปด้วยคําแนะนําฉบับเร่งด่วน ทั้งนี้หากมีข้อมูลเพิ่มเติม เอกสารนี้จะมีการปรับปรุงในภายหลัง **

ข้อมูลฉบับภาษาอังกฤษได้รับการปรับปรุงเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2564 – ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลกจะปรับปรุงเนื้อหาในการตอบข้อสงสัยนี้ให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเมื่อเรามีข้อมูลมากขึ้น

หากต้องการข้อมูลล่าสุดซึ่งเป็นภาษาอังกฤษสามารถดูได้ที่นี่


ภูมิคุ้มกันหมู่คืออะไร

ภูมิคุ้มกันหมู่ หรือภูมิคุ้มกันในกลุ่มประชากร คือการได้รับการป้องกันจากโรคติดต่อ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อประชากรมีภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าจะโดยการฉีดวัคซีนหรือโดยภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยการฉีดวัคซีน ไม่ใช่โดยการปล่อยให้โรคแพร่กระจายไปในกลุ่มประชากร เพราะจะก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น

ภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อป้องกันโรคโควิด 19 ควรเกิดจากการสร้างเกราะป้องกันให้ประชากรด้วยการฉีดวัคซีน ไม่ใช่ด้วยการปล่อยให้ประชากรสัมผัสจุลชีพก่อโรค ท่านสามารถอ่านถ้อยแถลงของผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ได้ที่นี่

วัคซีนฝึกฝนให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างโปรตีนขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับโรค ซึ่งเรียกกันว่า “แอนติบอดี” ซึ่งเกิดขึ้นเหมือนเวลาที่เราได้รับเชื้อโรคจริง แต่วัคซีนสามารถทำงานได้โดยที่ไม่ทำให้เราเจ็บป่วย ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว จะได้รับการป้องกันโรค และในขณะเดียวกันก็ไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ซึ่งเป็นการตัดวงจรการแพร่ระบาด ท่านสามารถเข้าไปยังเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโควิด 19 และวัคซีน

การจะได้มาซึ่งภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อป้องกันโรคโควิด 19 ต้องมีสัดส่วนประชากรจำนวนมากพอที่ได้รับวัคซีน ซึ่งจะเป็นการลดปริมาณเชื้อไวรัสโดยรวมที่จะแพร่ระบาดในกลุ่มประชากรทั้งหมด เป้าหมายอย่างหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ คือการปกป้องกลุ่มคนเปราะบางที่ไม่สามารถรับวัคซีนได้ (เช่น ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ อาทิ การมีปฏิกิริยาแพ้วัคซีน เป็นต้น) จากการติดเชื้อโควิด 19

อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ ถาม-ตอบ วัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกัน

เปอร์เซนต์ของผู้ที่ต้องได้รับวัคซีนเพื่อที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่นั้นต่างกันในแต่ละโรค ตัวอย่างเช่น การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่สำหรับโรคหัด ควรมีประชากร ร้อยละ 95  ได้รับวัคซีน ขณะที่ประชากรที่เหลืออีก ร้อยละ 5% จะได้รับการคุ้มกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าโรคหัดจะไม่แพร่ระบาดในประชากรที่ได้รับวัคซีนแล้ว สำหรับโรคโปลิโอ ขอบเขตอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 80 ขณะนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า สัดส่วนของประชากรที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อป้องกันโรคโควิด 19 คือเท่าใด ประเด็นนี้เป็นหัวข้อสำหรับการศึกษาวิจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งคาดว่าสัดส่วนนั้นจะแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละชุมชน ชนิดของวัคซีน การจัดลำดับประชากรเพื่อการได้รับวัคซีน และปัจจัยอื่นๆ

การได้มาซึ่งภูมิคุ้มกันหมู่ด้วยการฉีดวัคซีนที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพจะลดโอกาสในการเกิดโรค

และช่วยรักษาชีวิตของผู้คนไว้ได้

ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังภูมิคุ้มกันหมู่ โดยการชมหรืออ่านบทสัมภาษณ์หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก ดร.ซุมยา สวามินาธาน


จุดยืนขององค์การอนามัยโลกเป็นอย่างไร ในการสร้างมิคุ้มกันหมู่เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด
19

ความพยายามในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยปล่อยให้ประชากรติดเชื้อไวรัสจะสร้างปัญหาและผิดหลักทางจริยธรรม การปล่อยให้โรคโควิด 19 แพร่กระจายในกลุ่มประชากร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอายุ หรือสถานะทางสุขภาพใด จะนำไปสู่การติดเชื้อที่ไม่จำเป็น ความทุกข์ทรมานและการเสียชีวิต ประชากรส่วนมากในประเทศส่วนใหญ่ ยังคงมีความเสี่ยง ต่อการรับเชื้อ ข้อมูลจากการศึกษาความชุกของระดับภูมิคุ้มกันบ่งชี้ว่า ประเทศส่วนใหญ่มีประชากรน้อยกว่า ร้อยละ 10 ที่เคยติดเชื้อโควิด 19 มาแล้ว

เรายังคงเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโรคโควิค 19

หลายคนที่ติดเชื้อโควิด 19 สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ตั้งแต่ในสัปดาห์แรกๆ แต่เรายังไม่ทราบว่า ภูมิคุ้มกันนั้นอยู่ที่ระดับใด หรือสามารถคงอยู่ได้นานเท่าใด หรือ จะต่างกันในแต่ละบุคคลอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วก็สามารถติดเชื้อโควิด 19 ซ้ำเป็นครั้งที่สองได้เช่นกัน

เราไม่มีทางทราบได้ว่าประชากรที่มีภูมิคุ้มกันนั้นมีสัดส่วนเท่าใด และภูมิคุ้มกันนั้นจะคงอยู่นานเท่าใด จนกว่าเราจะเข้าใจภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ดียิ่งขึ้น ซึ่งคงไม่ต้องกล่าวถึงการทำนายถึงภูมิคุ้มกันในอนาคต

ซึ่งความท้าทายเหล่านี้ทำให้ควรตัดประเด็นการสร้างภูมิคุ้มกันในประชากรโดยปล่อยให้คนติดเชื้อเองตามธรรมชาติออกไป

ถึงแม้ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวจะมีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะป่วยรุนแรง และเสียชีวิต คนกลุ่มนี้ไม่ใช่เพียงกลุ่มเดียวที่มีความเสี่ยง

 

สุดท้ายนี้ ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง และบางคนไม่มีอาการเลย  ในขณะที่หลายคนป่วยรุนแรง และต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล เราเพิ่งเริ่มต้นที่จะเข้าใจผลกระทบในระยะยาวของผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคโควิด 19 หรือที่เรียกกันว่า “Long COVID”

ขณะนี้องค์การอนามัยโลกกำลังทำงานร่วมกับแพทย์และกลุ่มผู้ป่วย เพื่อให้เข้าใจผลกระทบของโรคโควิด 19 ในระยะยาวต่อสุขภาพมากขึ้น

ท่านสามารถอ่านถ้อยแถลงของผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ได้ที่นี่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปจุดยืนขององค์การอนามัยโลก 


เราทราบอะไรบ้างเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19
 

คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อโควิด 19 จะสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ในสัปดาห์แรกๆ หลังจากติดเชื้อ

ขณะนี้ยังคงมีการศึกษาวิจัยว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ที่ระดับเท่าใด และคงอยู่ได้นานเพียงใด นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก ยังศึกษาว่า ระดับภูมิคุ้มกันและระยะเวลาของภูมิคุ้มกันนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของของการติดเชื้อหรือไม่ เช่น การติดเชื้อไม่มีอาการ การติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย หรือการติดเชื้อรุนแรง เป็นต้น แม้คนที่ไม่มีอาการเลย ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้

การศึกษาความชุกของระดับภูมิคุ้มกันจากทั่วโลก ระบุว่า กลุ่มประชากรตัวอย่างน้อยกว่า ร้อยละ 10 เคยติดเชื้อมาแล้ว นั่นหมายความว่า ประชากรส่วนใหญ่ในโลกนี้ ยังคงมีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อไวรัสชนิดนี้

สำหรับโคโรนาไวรัสชนิดอื่นๆ เช่น ไวรัสโรคหวัด เชื้อ SARS-CoV-1 และเชื้อเมอร์ส (MERS) พบว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งเป็นเหมือนกับโรคชนิดอื่นๆ เมื่อผู้ที่ติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สร้างแอนติบอดี และมีภูมิคุ้มกัน เรายังคงไม่ทราบว่าภูมินั้นจะคงอยู่นานเท่าใด

ชมบทสนทนา ระหว่างดร.ไมค์ ไรอัน และดร.มาเรีย แวน แคร์โคฟ เรื่องภูมิคุ้มกัน ได้ที่นี่

 

จุดยืนขององค์การอนามัยโลกเป็นอย่างไร ในเรื่องการใช้ล็อคดาวน์เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด 19

มาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และการจำกัดการเคลื่อนย้ายเป็นวงกว้าง หรือที่เรียกกันว่า “ล็อคดาวน์” สามารถชะลอการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ ด้วยการจำกัดการสัมผัสระหว่างผู้คน

อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบในแง่ลบอย่างรุนแรงต่อบุคคล ชุมชน และสังคม ด้วยการทำให้ กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจเกือบจะหยุดนิ่ง มาตรการดังกล่าวกระทบต่อบุคคลด้อยโอกาสอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งรวมถึง คนยากจน คนต่างด้าว ผู้อพยพ และผู้ไร้ถิ่นฐาน ซึ่งส่วนมากอาศัยอยู่ในบริบท ที่แออัดและขาดแคลนทรัพยากร และต้องพึ่งพาค่าจ้างรายวันในการดำรงชีพ

องค์การอนามัยโลกตระหนักดีว่า ในบางสถานการณ์หลายประเทศไม่มีทางเลือก จึงต้องออกมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ”  และมาตรการอื่นๆ เพื่อประวิงเวลา

รัฐบาลควรจะใช้เวลาช่วงล็อคดาวน์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการสร้างศักยภาพ ที่จะตรวจหา คัดแยกผู้ติดเชื้อ วินิจฉัย และรักษาผู้ป่วยทั้งหมด นอกจากนี้ ยังรวมถึงการติดตามและแยกกักผู้สัมผัส ไปจนถึง การทำงานร่วมกับชุมชน และเสริมสร้างให้ทุกคนมีบทบาททางสังคม และอื่นๆ

องค์การอนามัยโลกหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แต่ละประเทศจะใช้มาตรการตอบโต้กับการระบาดได้อย่างตรงจุด และเหมาะสมกับสถานที่และเวลา โดยคำนึงถึงบริบทของแต่ละท้องถิ่น